จี้ไฝ กระ หูด ติ่งเนื้อ ขี้แมลงวัน แผลเป็น แผลนูน แผลแตกลาย ฯลฯ

บริการจี้ไฝ กระ หูด ติ่งเนื้อ ขี้แมลงวัน แผลเป็น แผลนูน(คีลอยด์) แผลแตกลาย เส้นเลือดขอด หลุมสิว ฯลฯ ด้วยพลาสม่าเพ็น ACCOR

 .

เครื่องพลาสม่าเพ็น ACCOR นำเข้าจากประเทศอังกฤษ ราคาเครื่องหลักแสน แบรนด์เกรดบน นิยมในวงการความงามยุโรปมากว่า 8 ปี ให้ผลลัพธ์ในการกำจัดไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ กระเนื้อ แผลเป็น ต่อมไขมัน แผลเป็น แผลแตกลาย หลุมสิว สิวอักเสบ ฯลฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องจี้ไฟฟ้า หรือเครื่องเลเซอร์ทั่วไป แม้แต่เครื่องเลเซอร์ Co2 หลังทำก็ยังมีเลือดซึมเล็กน้อย แต่สำหรับเครื่องพลาสม่าเพ็น ACCOR แล้ว หลังทำแผลจะแห้งทันที ไม่มีเลือด ไม่ต้องเสียเวลาล้างแผล เพราะเครื่องนี้ทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อ ปิดแผลให้แห้ง และห้ามเลือดพร้อมในตัวเสร็จสรรพ นั่นคือความพิเศษของเครื่องพลาสม่าเพ็น ACCOR นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงสามารถกำจัดไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ หูด หรืออื่นๆ ได้ แม้จะเม็ดใหญ่ หรือมีฐานกว้าง

*ปกติ การจี้ไฝ ขี้แมลงวัน ติ่งเนื้อ ไฝเลือด หูด ฯลฯ ที่เม็ดเริ่มไปทางใหญ่  หรือบริเวณที่ทำยาก หากผ่าตามโรงพยาบาล/คลีนิก จะราคาสูงมาก ราคาหลักหลายพันจนถึงหลักหมื่น แต่ด้วยนวัตกรรมจาก Accor เครื่องพลาสม่าเพ็นนำเข้าจากประเทศอังกฤษ ตอบโจทย์ได้คุ้มกว่ามาก 

***ปลอดภัยกว่าการเลเซอร์ / ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด / แผลแห้งหลังทำ, ตกสะเก็ดหายเร็ว, ดุแลง่าย 

ยกตัวอย่าง เคสนี้ เป็นไฝเลือดแหลมสูง บริเวณปากจะมีเลือดออกเยอะ ลูกค้าถามตามคลีนิก/โรงพยาบาล ค่าผ่าตัด 9,000.- แต่ที่สถาบันความงาม อ.แอน จี้ด้วยพลาสม่าเพ็น เพียง 3,500.- เท่านั้น คุ้มมากค่ะ ***หลังแผลตกสะเก็ด ปากก็ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น มีแค่รอยนูนเล็กน้อย / แต่ถ้าเป็นแผลผ่า ริมฝีปากจะเป็นรอยแผลเป็นจากการผ่า ซึ่งจะดูไม่สวยงาม 

 

ราคาบริการแบบเหมา ==> เริ่มต้นที่ 500.- ถึง 4,000

*ราคาคิดตามจำนวน ความยากง่าย 

*ส่งภาพบริเวณที่ต้องการทำเพื่อแจ้งราคา

(รวมค่าเปิดเข็ม+ยาชา+ค่าบริการ+ทายาหลังทำแล้ว)*ไม่บวกเพิ่ม

***หลังทำ แนะนำให้ลูกค้าซื้อยาทาป้องกันรอยแผลเป็น เพื่อให้แผลหลังทำจางหายเร็วขึ้น ไม่เป็นแผลเป็น อาทิ ฮีรูดอย ฮีรูสการ์ เดอร์มาติก ฯลฯ 

 

 

      เครื่องพลาสม่าเพ็น นอกจากจะสามารถยกกระชับผิวทุกส่วนของร่างกายให้กระชับตึงสวยสดใส ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน(สร้างเซลล์ผิวใหม่) กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ยังสามารถจี้ไฝ กระเนื้อ หูด ติ่งเนื้อ ขี้แมลงวัน สิวอักเสบ สิวอุดตัน หลุมสิว แผลเป็น แผลแตกลาย แผลนูนคีลอยด์ เส้นเลือดขอด ฯลฯ หากเป็นบริเวณที่กว้าง หรือเป็นมาก อาจต้องทำซ้ำจนกว่าจะพอใจ โดยเว้นระยะห่าง 6-8 เดือนขึ้นไป หากต้องการทำซ้ำจุดเดิม

***การทำแต่ละครั้ง จะทำในระดับความลึกที่เหมาะสม เพื่อป้องกันความเสี่ยงเกิดแผลเป็น แผลนูน อย่างเช่นกรณีจี้ไฝ หูด ขี้แมลงวัน ฯลฯ  หากเม็ดเริ่มโต มีความเข้มใหญ่สักนิด ก็มักจะมีรากที่หยั่งลึกลงไปใต้ผิว ด้วยสมรรถนะของเครื่องพลาสม่าเพ็น ACCOR สามารถจี้ได้ลึกก็ไม่มีเลือด แผลแห้งกริบ แต่หากจี้ลึกเกินไป ลูกค้าอาจเสี่ยงเป็นแผลเป็นได้ เราจึงจี้ได้ในระดับความลึกที่เหมาะสมเท่านั้น 

***หากมีรากลึก ลูกค้าต้องมาจี้ซ้ำจุดเดิมหลังทำรอบแรก 6-8 เดือนขึ้นไป โดยคิดค่าจี้เป็นครั้งๆ ไป 

***การจี้ด้วยพลาสม่าจะ burn ผิวน้อยกว่าการเลเซอร์ และไม่ทิ้งรอยดำ ผิวฟื้นตัวเร็วกว่า และกระชับสดใสมากขึ้นหลังทำ 3-6 เดือน

 

เห็นความพิเศษหลังกำจัดไฝเม็ดใหญ่มั๊ยคะ! ว่าไม่มีเลือดเลยแม้แต่หยดเดียว ซึ่งความพิเศษนี้ ไม่ได้มีจากเครื่องจี้ไฟฟ้า และเลเซอร์ทั่วไป ดังนั้น ปลอดภัย ไม่มีเลือด ไม่ต้องเสียเวลาทำแผล หลังทำ อ.แอน ทายา AfterCare ให้เรียบร้อย แผลแห้งตกสะเก็ดหายเร็ว ดูแลง่ายมาก เพียงแค่ห้ามโดนน้ำ รอแผลตกสะเก็ด ไม่ต้องทายาใดๆ

***ทายาป้องกันแผลเป็นเฉพาะตอนแผลตกสะเก็ดแล้วเท่านั้น โดยทายาหลังแผลตกสะเก็ดประมาณ 2-3 เดือน (ทาเช้า-เย็น)

ภาพนี้ก็เช่นกันค่ะ หลังจี้ติ่งเนื้อด้วยพลาสม่าเพ็น ACCOR แล้ว ปกติวิธีอื่นจะมีเลือด แต่วิธีกำจัดด้วยเครื่องพลาสม่าเพ็น ACCOR แผลจะแห้งทันที ไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว ปลอดภัยสบายใจที่สุด

  ***นอกจากกำจัดไฝ ขี้แมลงวัน กระเนื้อ หูด ติ่งเนื้อ ต่อมไขมัน ฯลฯ เครื่องนี้ยังสามารถทำให้แผลเป็น แผลนูนคีลอยด์ แผลแตกลายหดเล็กลง เส้นเลือดขอด หลุมสิว สิวอักเสบ สิวอุดตัน ฯลฯ เรียกได้ว่าครอบจักรวาลจริงๆ 

  

  
ปัญหาเรื่องผิว แก้ไขได้ด้วยพลาสม่าเพ็น ACCOR 
นวัตกรรมใหม่ที่ปลอดภัย และยั่งยืน
นิยมในสถาบันความงามของยุโรปมากว่า 8 ปี
 
 
 
    
ก่อนมาใช้บริการส่งภาพบริเวณที่ต้องการทำเพื่อประเมินราคาเบื้องต้น และมัดจำจองคิวล่วงหน้านะคะ
 .
Tel. 02-007-6879
Tel. 083-904-3080 / Id line. annyart
เปิดให้บริการ อังคาร-เสาร์ *หยุดวันนักขัตฤกษ์สำคัญ
คิวเช้า : 10.00 น. / 12.00 น.
คิวบ่าย : 14.00 น. / 16.00 น. 
.
เพื่อความสะดวกกรุณาเช็คคิวล่วงหน้า และมัดจำจองคิวนะคะ
 
 
 
 
ความรู้เรื่องไฝ กระ หูด ติ่งเนื้อ ขี้แมลงวัน

ไฝ หูด ติ่งเนื้อ และขี้แมลงวัน

     ไฝ หูด ติ่งเนื้อ และขี้แมลงวัน (Mole, Wart, Skin Tag) เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่จับตัวกันเป็นกลุ่มใต้ผิวหนัง แต่ในทางการแพทย์ ระบุว่าไฝทุกเม็ด อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ จึงควรสังเกตุไฝ หูด ติ่งเนื้อ และขี้แมลงวัน รูปร่าง สี และขนาด รอบๆ ไฝมีการอักเสบ บวมแดงหรือไม่ ถ้าคุณพบความผิดปกติเกิดขึ้นกับไฝ หรือขี้แมลงวัน ควรปรึกษาแพทย์

ไฝ และขี้แมลงวัน เป็นภาวะปกติของผิวหนังที่พบได้บ่อย ๆ ในเกือบทุกคน จะมากน้อยแตกต่างก็แล้วแต่เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ และตัวบุคคลเอง แต่ก็มีคำถามกันบ่อย ๆ ว่ากรณีที่มีปริมาณมากๆ หรือลักษณะอย่างนี้จะมีอันตรายอะไรหรือไม่ จะกลายเป็นมะเร็งภายหลังหรือเปล่า 

ไฝ และขี้แมลงวัน มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของ Melanocyte ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีอยู่ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) โดยมีหน้าที่ในการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งปริมาณ และขนาดของเมลานิน จะเป็นตัวกำหนดสีผิวของคนเรา ว่าจะมีผิวขาว ผิวคล้ำมากน้อยเพียงใด แล้วเป็นเนื้องอกจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เมลาโนไซท์ โดยไฝจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน ส่วนขี้แมลงวันจะเป็นตุ่มราบสีดำ และอยู่ตื้นกว่าไฝ

โดยทั่วๆไป ไฝ และขี้แมลงวัน จะมีการเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างช้า ๆ ซึ่งมักจะสังเกตได้ในช่วงวัยรุ่น หรือตั้งครรภ์ โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเกิดในบริเวณทั่วพร้อม ๆกัน   ไฝ และขี้แมลงวัน มีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ที่เรียกว่า Melanoma ซึ่งมีอันตรายร้ายแรง และเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่ในคนไทยพบได้น้อย ดังนั้นการสังเกตความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกเริ่ม จึงมีความจำเป็น และแก้ไขได้ทันท่วงที

ลักษณะของไฝ และขี้แมลงวัน ที่อาจจะต้องพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป มีดังนี้

  1. ไฝที่ลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ โตเร็วขึ้น มีขอบเขตไม่ชัดเจน มีขอบยื่นมา ไม่กลมชัด มีการเปลี่ยนสี มีแผล มีเลือดออก มีสะเก็ด มีอาการคัน ปวด กดเจ็บ มีไฝเล็กเกิดรอบ ๆไฝเม็ดใหญ่ หรือมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้นโตขึ้น
  2. ไฝที่อยู่ในบริเวณที่ถูกเสียดสีมากๆ ได้แก่ บริเวณคาดเข็มขัด บริเวณรัดของเสื้อยกทรง บริเวณคอที่ถูกสร้อยถูไถ
  3. ไฝในที่ลับตา เช่น ที่หนังศีรษะ หรืออวัยวะเพศ เนื่องจากไฝเหล่านี้ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้
  4. ไฝที่เป็นแผ่น นูนตามศีรษะ มีผิวเหมือนกำมะหยี่ เป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ
  5. ไฝที่บริเวณที่ได้รับการฉายรังสี
  6. ไฝที่มีหลายสีปนกัน เช่น สีน้ำตาล ดำ น้ำเงิน เทา พบตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และใต้เล็บ

เมื่อเรามีไฝที่อันตรายแบบนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อรับการตรวจ และให้คำแนะนำว่าเป็นไฝที่มีอันตรายจริง ๆหรือไม่ และถ้าเป็นจริงควรได้รับการตัดออก

การตัดเอาไฝออกนั้นทำได้ค่อนข้างง่าย ใช้เวลาไม่นาน ความเจ็บปวดมีน้อยมาก ถ้าทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญจะเกิดแผลที่เล็กน้อยจนดูเหมือนไม่มีอะไรเลย นอกจากนี้ยังนำชิ้นเนื้อไฝที่ตัดออกมาซึ่งสามารถนำไปตรวจดูว่าเป็นไฝที่ธรรมดา หรือไฝมะเร็ง เพื่อที่จะทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไป วิธีจะเริ่มต้นโดยแพทย์ทำการฉีดยาชาบริเวณที่ตัดออก ซึ่งจะเจ็บเล็กน้อย หลังจากนั้นผ่าไฝ และเนื้อรอบๆ ออกเป็นรูปวงรีปลายแหลม เมือเอาไฝ และเนื้อรอบๆ ออกไปแล้วก็จะทำการเย็บขอบเนื้อข้างเข้าหากัน รวมทั้งหมดใช้เวลาเพียง 5-15 นาทีเท่านั้นเอง จากนั้นก็รอจนกว่าแผลติดกันประมาณ 5-7 วัน ก็ตัดไหมออกได้

ส่วนวิธีใช้เลเซอร์ยิงที่ไฝนั้น (ใช้ในกรณีเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่ใช่เนื้อร้ายหรือไฝเล็ก ๆ) เป็นการทำลายเนื้อไฝโดยตรง วิธีนี้จะมีแผลเป็นน้อยมาก ถ้าไฝมีขนาดเล็ก แต่ถ้าแผลขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาในการหายของแผลพอสมควร การพิจารณาใช้การผ่าตัดหรือเลเซอร์ก็ขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของไฝ ชนิดของไฝ

ขอขอบพระคุณข้อมูล : โรงพยาบาลนครธน

ติ่งเนื้อ (Skin Tags/Acrochordon) คือ ก้อนเนื้อเล็กมีลักษณะนุ่ม ซึ่งเกิดขึ้นมาและเป็นติ่งอยู่บนผิวหนัง มีสี และขนาดแตกต่างกันไป โดยมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงประมาณ 2 นิ้ว ติ่งเนื้อไม่ใช่เนื้อร้าย และไม่กลายเป็นมะเร็งผิวหนัง โดยทั่วไปแล้ว บริเวณผิวหนังที่เป็นข้อพับมักเกิดติ่งเนื้อ เช่น คอ รักแร้ ลำตัว ใต้ราวนม หรือบริเวณหัวหน่าว ผู้ที่มีติ่งเนื้ออาจรู้สึกระคายเคืองในกรณีที่ติ่งเนื้อเสียดสีกับเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ ทั้งนี้ ผู้ที่มีอายุมากขึ้นอาจเกิดติ่งเนื้อได้ พบได้ทั่วไปสำหรับผู้ที่มีอายุ 50-60 ปี ขึ้นไป และมีแนวโน้มเกิดขึ้นกับผู้ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ตั้งครรภ์ หรือมีบุคคลในครอบครัวเคยเกิดติ่งเนื้อ

อาการของติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อที่เพิ่งขึ้นบนผิวหนัง จะเป็นก้อนเนื้อนุ่มมีขนาดเล็กนูนขึ้น และยื่นออกมาเป็นติ่ง และจะค่อย ๆ กลายเป็นสีเดียวกับผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใด ๆ แต่อาจรู้สึกระคายเคืองบ้างหากเสียดสีกับเสื้อผ้า หรือถ้าก้านที่ยึดติ่งเนื้อถูกบิด อาจเกิดลิ่มเลือดภายในติ่งเนื้อและรู้สึกเจ็บได้ ติ่งเนื้อมักขึ้นที่คอ รักแร้ กลางลำตัว บริเวณผิวหนังที่ย่นทับกัน เปลือกตา หรือต้นขาด้านใน ผู้ที่เกิดติ่งเนื้อควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ เนื่องจากติ่งเนื้อมีลักษณะคล้ายหูดหรือไฝ ซึ่งกลายเป็นเนื้อร้ายได้

สาเหตุของติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อเกิดจากผิวหนังล้อมรอบเส้นใยคอลลาเจน และเส้นเลือด คอลลาเจนดังกล่าวเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบได้ตามร่างกายโดยเฉพาะที่ผิวหนัง ผู้ที่อายุมากมักมีติ่งเนื้อขึ้นมา ส่วนเด็กเล็กหรือทารกอาจมีติ่งเนื้อขึ้นมาบ้าง สาเหตุที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อยังไม่ปรากฏแน่ชัด อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อได้ ดังนี้

  • ภาวะดื้ออินซูลิน  ภาวะนี้คือภาวะที่นำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะน้ำตาลผิดปกติ (Prediabetes) โดยภาวะดื้ออินซูลินอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อ เนื่องจากร่างกายดูดซึมน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดได้ไม่ดี ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่าติ่งเนื้อเกี่ยวเนื่องกับดัชนีมวลกายที่มาก ภาวะไตรกลีเซอร์ไรด์สูง และภาวะดื้ออินซูลิน
  • ภาวะอ้วน ผู้ที่ประสบภาวะอ้วน จะป่วยเป็นโรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) โดยโรคนี้จะเกิดติ่งเนื้อจำนวนมากตามผิวหนังบริเวณคอ และรักแร้
  • การตั้งครรภ์ ติ่งเนื้ออาจเป็นผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์ เนื่องจากผู้ที่ตั้งครรภ์จะมีระดับฮอร์โมน และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ติ่งเนื้ออาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ และภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล
  • เชื้อเอชพีวี งานวิจัยบางชิ้นได้ศึกษาติ่งเนื้อจำนวน 37 ชิ้น ที่ขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พบว่าติ่งเนื้อจำนวนร้อยละ 50  ปรากฏดีเอ็นเอของเชื้อเอชพีวี (Human Papillomavirus: HPV) จึงกล่าวได้ว่าเชื้อเอชพีวีอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อ
  • พันธุกรรม ผู้ที่บุคคลในครอบครัวเคยมีติ่งเนื้อขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาจเสี่ยงเกิดติ่งเนื้อได้
การวินิจฉัยติ่งเนื้อ

 ผู้ที่เกิดติ่งเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจ และวินิจฉัย โดยแพทย์จะตรวจดูติ่งเนื้อที่เกิดขึ้น ผู้ที่เกิดติ่งเนื้อลักษณะนุ่ม กดหรือขยับติ่งเนื้อไปมาได้ ติ่งเนื้อมีสีเดียวกับผิวหนังหรือเข้มเล็กน้อย รวมทั้งมีก้านของติ่งเนื้อยึดติ่งเนื้อไว้กับผิวหนัง ไม่จำเป็นต้องรับการตรวจอย่างอื่นเพิ่มเติม ส่วนผู้ที่ติ่งเนื้อมีสีแตกต่างจากผิวหนัง มีหลายสี ติ่งเนื้อแกว่งไปมา รวมทั้งมีลักษณะเป็นเนื้อสดและมีเลือดออก ควรเข้ารับการตรวจโดยแพทย์ ทั้งนี้ แพทย์จะนำชิ้นติ่งเนื้อไปตรวจในกรณีที่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าก้อนนูนที่ขึ้นมาบนผิวหนังเป็นติ่งเนื้อหรือไม่

การรักษาติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อคือก้อนเนื้อชนิดหนึ่งที่ขึ้นตามผิวหนังของร่างกาย โดยทั่วไปแล้ว ติ่งเนื้อไม่ใช่เนื้อร้ายหรือกลายเป็นมะเร็งได้ อย่างไรก็ตาม ติ่งเนื้ออาจกลายเป็นภาวะก่อนเป็นมะเร็งหรือเป็นมะเร็ง ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก ผู้ที่ต้องการกำจัดติ่งเนื้อควรปรึกษาแพทย์ให้รอบคอบ ส่วนใหญ่แล้ว มักกำจัดติ่งเนื้อออกเพื่อความสวยงาม โดยมีวิธีรักษาหลายวิธี ดังนี้

  • วิธีกำจัดติ่งเนื้อด้วยวิธีทางการแพทย์ การกำจัดติ่งเนื้อด้วยวิธีทางการแพทย์มีหลายลักษณะ ได้แก่ ผ่าตัดติ่งเนื้อ บำบัดด้วยความเย็นจัด และจี้ติ่งเนื้อ ดังนี้
    • ผ่าตัดติ่งเนื้อ วิธีนี้จะช่วยกำจัดติ่งเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็เสี่ยงเกิดเลือดออกได้มาก
    • บำบัดด้วยความเย็นจัด (Cryotherapy) วิธีนี้จะรักษาติ่งเนื้อด้วยอุณหภูมิเย็นจัด อีกทั้งยังใช้รักษาผิวหนังบริเวณที่เกิดอาการเจ็บปวดจากเส้นประสาท มะเร็งบางชนิด หรือเซลล์ผิวหนังที่เกิดความผิดปกติ โดยแพทย์จะสอดอุปกรณ์สำหรับรักษาเข้าไปข้างในเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่เส้นประสาทถูกทำลาย และลดอุณหภูมิของเครื่องมือจนเย็นจัด เพื่อแช่แข็งเส้นประสาท ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรือระคายเคือง
    • จี้ติ่งเนื้อ (Cauterization) วิธีนี้จะใช้ไฟจี้ติ่งเนื้อที่มีสีผิดปกติหรือทำให้เกิดการระคายเคือง ให้หลุดออกไป วิธีกำจัดติ่งเนื้อด้วยตนเอง ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มีติ่งเนื้อไม่ควรเอาติ่งเนื้อออกเอง เนื่องจากอาจทำให้เลือดออกมาก
การป้องกันติ่งเนื้อ

ส่วนใหญ่แล้ว ติ่งเนื้อไม่ได้เป็นเนื้อร้าย ผู้ที่มีติ่งเนื้ออาจรู้สึกระคายเคืองผิวหนังเมื่อติ่งเนื้อเสียดสีกับเสื้อผ้า ทั้งนี้  ติ่งเนื้อจะไม่เกิดขึ้นซ้ำเมื่อนำออกไป แต่อาจเกิดติ่งเนื้อขึ้นส่วนอื่นของร่างกายแทน วิธีป้องกันติ่งเนื้อยังไม่ปรากฏอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ติ่งเนื้อเป็นภาวะที่เลี่ยงได้ โดยควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไปจนประสบภาวะอ้วนอันเป็นปัจจัยเสี่ยงของติ่งเนื้อ รวมทั้งสังเกตดูว่าก้อนนูนที่ขึ้นตามผิวหนังนั้นเป็นติ่งเนื้อ หูด หรือเนื้อร้ายอื่น ๆ ที่ต้องเข้ารับการรักษา หากพบลักษณะก้อนเนื้อที่นูนขึ้นมามีลักษณะต่อไปนี้ ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาทันที

  • ก้อนเนื้อมีลักษณะแข็งและพื้นผิวมีลักษณะผิดปกติ
  • ก้อนเนื้อนูนขึ้นมา ไม่ได้โผล่ออกมาเป็นติ่ง
  • แพร่เชื้อหรือเกิดการติดต่อได้ง่าย
  • ก้อนเนื้อมีเลือดออก ทำให้คัน และสีเปลี่ยน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพร้ายแรง

 กระ

กระ เกิดจาก เม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ทำงานผิดปกติจนทำให้บริเวณนั้น ๆ ทำให้ผิวสีเข้มขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดมาลานิน ส่วนมากจะเกิดมาจาก แสงแดด และ พันธุกรรม
กระ
มี 4 ชนิด คือ กระตื้น กระลึก กระแดด และกระเนื้อ

1. กระตื้น (Freckle) มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ ผิวเรียบ ขนาดประมาณ 0.5 มิลลิเมตร กระจายอยู่บริเวณใบหน้าและลำคอ กระชนิดนี้หากผิวโดนแสงแดดเป็นเวลานานๆ กระจะมีสีเข้มขึ้น และหากหลีกเลี่ยงแสงแดดเป็นเวลานานๆกระก็จะมีสีจางลงได้เอง พบบ่อยในคนผิวขาว และอาจเป็นตั้งแต่อายุน้อยๆได้จะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล มักเป็นบริเวณใบหน้าหรือส่วนที่โดนแสงแดดบ่อยๆ มักพบในเด็ก และวัยรุ่น กระนี้จะมีสีเข้มขึ้น และเห็นชัดเจนถ้าไปโดนแดด และจะจางลงเมื่อไม่โดนแดด
2. 
Solar Lentigo หรือกระแดด พบบ่อยในผู้ใหญ่ เกิดจากการผลิดเม็ดสีมากกว่าปกติจะแตกต่างจากกระชนิดที่ 1 คือสีจะไม่จางลงถึงแม้ว่าจะหลีกเลื่ยงแสงแดดแล้วก็ตาม แถมยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามอายุ

3. กระลึก มีลักษณะเป็นจุดสีเทาหรือฟ้าอมเทาหลายจุดที่บริเวณโหนกแก้มสองข้าง มักพบในผู้หญิงเอเชียเนื่องจากมีเซลล์สร้างเม็ดสีขึ้นผิดที่ คือไปอยู่ชั้นหนังแท้ เพราะฉะนั้นกระลึกพวกนี้จึงไม่ตอบสนองต่อการทายากำจัดฝ้า

4.กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาลหรือดำ ซึ่งค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นช้าๆ เป็นตุ่มแบนขนาดใหญ่มีขอบชัดเจน ผิวอาจจะเรียบ หรือขรุชระก็ได้ ส่วนมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยกลางคน และค่อยๆ เพิ่มจำนวน และขนาดขึ้นช้าๆ ตามอายุ มักพบรอยโรคที่ใบหน้า และส่วนของลำตัวผู้ที่มีการตกกระแบบนี้มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นด้วย

การรักษา

กระตื้นนิยมรักษาด้วยเลเซอร์ซึ่งทำให้เกิดสะเก็ดขาว และหลุดออกไป แต่เนื่องจากเป็นกรรมพันธุ์กระนี้จะกลับมาขึ้นใหม่อีกหากไปโดนแสงแดดจัด ส่วนกระลึกจะรักษายากกว่า

***ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลใจหากไม่ได้รักษา เนื่องจากรอยโรคเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมะเร็งผิวหนัง

  • นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550




ตัวอย่างผลงานหลังจี้ด้วยพลาสม่าเพ็น ACCOR